ออกไปท่องเที่ยวท้าลมและแสงแดดได้อย่างสบายใจ เมื่อได้ใช้ครีมกันแดดอย่างถูกวิธี

     เราต่างก็รู้กันดีว่าเมืองไทยมีแหล่งท่องเที่ยวมากมาย อยากออกไปเที่ยวให้ทั่วไทยเลย แต่ปัญหาคือไม่ว่าจะเป็นช่วงไหน ฤดูใด ก็ต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่ร้อนมากถึงร้อนที่สุด จนแทบไม่อยากไปไหน อย่าว่าแต่ออกไปเที่ยวเลย แค่เดินออกจากบ้านไปก็โดนแดดแรงๆ เผาผิวให้แห้งกร้าน แสบคันกันแล้ว แต่ถ้าบอกว่ามีวิธีที่คุณสามารถไปเที่ยวได้อย่างสบายใจละ แบบนี้น่าสนใจใช่ไหม ซึ่งไม่ยากเลย เพียงคุณใช้ครีมกันแดดอย่างถูกวิธี เรื่องเที่ยวก็เป็นเรื่องง่ายและสบายใจได้เลย


  1. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมสารกันแดด

  2. เริ่มแรกเลยคุณต้องรู้จักการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับผิวหน้าและผิวกายของคุณให้มีส่วนผสมของสารกันแดด หรือเป็นครีมกันแดดโดยตรงที่มี SPF15+ ขึ้นไป เพราะในเนื้อครีมกันแดดนั้น จะสามารถช่วยปกป้องผิวของคุณให้ไม่ได้รับอันตรายจากแสงUV ที่จะทำร้ายผิวของเราได้ และเครื่องสำอางที่ใช้ประจำก็ควรต้องมีส่วนผสมของสารกันแดดร่วมด้วย


  3. เตรียมผิวด้วยการทาครีมกันแดดก่อนออกไปเจอกับแสงแดด

  4. หลังจากที่ทำความสะอาดผิวหน้าผิวกายแล้วหลังจากนั้นให้ใช้ครีมกันแดดทาให้ทั่วบริเวณผิวที่เป็นอวัยวะส่วนที่ต้องโผล่พ้นมาจากเสื้อผ้า ทั้งผิวหน้า แขน ขาและมือ ลำคอ ทาทิ้งไว้สัก 5-10 นาทีรอให้ผิวดูดซึมครีม แล้วจึงค่อยทาครีมตัวอื่นๆ ต่อไป และสำหรับใครที่ต้องบำรุงผิวด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ควรทาก่อนครีมกันแดดทุกครั้งเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว


  5. ในกระเป๋าต้องมีครีมกันแดดพกติดตัวเสมอ

  6. ไม่ว่าการเดินทางท่องเที่ยวของคุณจะต้องเผชิญกับแสงแดดที่ร้อนแรงแค่ไหน ก็ไม่ต้องเป็นกังวล เพราะเราขอแนะนำให้คุณพกครีมกันแดดติดตัว ติดกระเป๋าไว้ให้พร้อมใช้เสมอ ไม่ว่าจะเดินทางไปไหน เมื่อต้องเจอสภาพอากาศที่ลมแรง แดดแสบร้อน ผิวของคุณยิ่งควรได้รับการปกป้อง ก็ยิ่งควรหยิบครีมกันแดดมาทาบ่อยๆ เป็นประจำทุกวัน


  7. เลือกทาครีมกันแดดให้เหมาะสม

  8. เมื่อรู้แล้วว่าใช้ครีมกันแดดช่วยปกป้องผิวเราจากแสงแดดได้ ก็ต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมด้วย ทั้งสภาพผิว สีผิว และเหมาะกับกิจกรรมในการท่องเที่ยวนั้นเป็นแบบไหน สภาพแดดลมแรง หรือจะต้องเจอทั้งแดดและน้ำ ยิ่งต้องใช้ครีมที่แตกต่างกันอย่างเหมาะสม และแม้ไม่มีแดดหรืออยู่ในที่ร่มก็อย่ามองข้ามต้องทาครีมกันแดดชนิดที่บางเบากันไว้ด้วยเช่นกัน

เคล็ดลับการเลือกครีมกันแดดเพื่อผิวสวยๆ ของคุณสาวๆ

     สำหรับคุณสาวๆ ที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มาพร้อมกับคุณสมบัติที่ช่วยปกป้องผิวสวยๆ ของคุณจากแสงแดดด้วยนั้น จากที่เคยคิดว่าต้องดูจากครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงๆ เข้าไว้ แต่จะเลือกจากค่า SPF อย่างเดียวไม่ได้แล้ว เราจึงมีเคล็ดลับดีๆ ในการเลือกครีมกันแดดให้กับผิวสวยๆ มากระซิบบอกคุณสาวๆ กัน


  1. ครีมกันแดดเลือกแบบเนื้อครีม

  2. หากสาวๆ ที่มีสภาพผิวแห้ง เกิดจากการที่ผิวสูญเสียน้ำ ผิวประเภทนี้ ยิ่งเจออากาศเย็น ผิวก็จะยิ่งแห้งมากขึ้น ฉะนั้นควรเลือกใช้ครีมบำรุงผิวและครีมกันแดดที่มีความเข้มข้นอย่างเนื้อครีมจะเหมาะที่สุด จะช่วยลดการสูญเสียน้ำใต้ผิวและยังเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวให้ยาวนานขึ้นด้วย ยิ่งเมื่อเจอกับอากาศแห้งเย็นก็ยิ่งต้องหมั่นทาครีมให้บ่อยขึ้นด้วย


  3. เลือกใช้โลชั่นกันแดด

  4. สาวๆ ผิวธรรมดา มักจะไม่ค่อยมีปัญหากับการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์หรือครีมบำรุงเท่าใดนัก แต่ถ้าจะบอกว่าเหมาะสมที่สุดเห็นทีจะเป็นครีมกันแดดที่เป็นแบบโลชั่นกันแดด ทั้งช่วยบำรุงผิวและยังประกอบด้วยสารกันแดด จะช่วยปกป้องผิวคุณจากแสงUV แล้ว ครีมกันแดดแบบโลชั่นจะซึมเข้ากับผิวได้ง่ายกว่าและจะทำให้ผิวมีความชุ่มชื้น


  5. ครีมกันแดดเนื้อมูสและเนื้อเจล

  6. ปัญหาสาวๆ ที่มีผิวหน้าที่มัน พอมาใช้ครีมแล้วยิ่งทำให้หน้ามันยิ่งขึ้น ก็ทำให้ไม่อยากใช้ จึงควรเลือกครีมกันแดดที่เป็นแบบเนื้อมูสและแบบเนื้อเจล เพราะทั้ง 2 แบบนี้จะมีส่วนผสมของน้ำอยู่มากและไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน ด้วยลักษณะบางเบาและควบคุมความมัน ทั้งมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ที่จะช่วยขจัดความมันด้วยแล้ว จึงเหมาะกับสาวๆ ผิวมันเป็นพิเศษ


  7. ครีมกันแดด BB (Blemish Balm Cream) 

  8. สำหรับคุณสาวๆ ที่กำลังเป็นกังวลกับปัญหาของผิวหน้า ไม่ว่าจะมีจุดด่างดำ รอยแดง รอยสิว ฝ้า กระหรือรอยแผลเป็น ที่ต้องการปกปิด และก็ยังอยากปกป้องผิวจากแสงแดดด้วยนั้น ควรเลือกใช้ครีมกันแดดชนิดบีบีครีมที่มีส่วนผสมของเบส รองพื้น บำรุงผิวและมีสารกันแดด และเพื่อให้ดูกลืนกับผิวควรเลือกโทนสีที่เข้ากับสีผิวด้วย จะทำให้ผิวหน้าดูเรียบเนียนขึ้น


  9. ครีมกันแดด CC (Color Correcting Cream)

  10. ครีมกันแดดแบบซีซีครีม จะเป็นตัวใหม่และมาแรงในตอนนี้เลยก็ว่าได้ เพราะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของสาวๆ ที่อยากได้รับการปกป้องจากแสงแดดพร้อมทั้งได้ผิวสวยกระจ่างใส เพราะซีซีครีมมีคุณสมบัติเด่นของเบส รองพื้น บำรุงผิว กันแดดและสารควบคุมความมันพร้อมกับปรับสีผิว จึงทำให้ผิวของคุณสาวๆ เรียบเนียนเสมอกันและดูเป็นธรรมชาติด้วย

มาสร้างเกราะป้องกันให้กับผิวสวยของคุณด้วยครีมกันแดดกันเถอะ

     เมื่อต้องเจอกับสภาพอากาศเมืองไทยที่ร้อนและแรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นใครก็อยากจะหลบลี้หนีเจ้าตัวต้นเหตุของผิวเสีย หยาบกร้านและเป็นฝ้า แต่ต่อไปนี้คุณไม่ต้องกลัวแสงแดดตอนกลางวันจนไม่กล้าออกไปไหนอีกแล้ว เพียงแค่มีครีมกันแดดเกราะป้องกันให้กับผิวสวยๆ ของคุณได้ แต่จะเป็นอย่างไรนั้น ต้องติดตาม


  1. มารู้ภัยอันตรายที่เกิดจากแสง UV กันก่อน

  2. อาการเริ่มแรกที่รู้สึกได้ว่าผิวจะแห้ง แสบร้อนและคันๆ และจะทวีความรุนแรงมากขึ้น เมื่อได้รับแสงอาทิตย์ที่แรงและนาน ยิ่งในช่วงเวลา 10.00 – 16.00 น. คือเวลาที่มีความเสี่ยงจะได้รับแสงอัลตราไวโอเลตมากกว่าเวลาอื่น เป็นสาเหตุให้ผิวคล้ำ มีริ้วรอย เป็นฝ้า กระ และจะส่งผลให้ผิวมีอาการแดงไหม้ บวมพอง จนถึงขั้นเป็นมะเร็งผิวหนังได้ น่ากลัวมากใช่ไหมละ


  3. ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารกันแดด

  4. คุณต้องรู้จักการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับผิวหน้าและผิวกายของคุณให้มีส่วนผสมของสารกันแดด และใช้ครีมกันแดดโดยเฉพาะที่มีค่า SPF15+ และ PA+จะสามารถปกป้องผิวของคุณให้ไม่ได้รับแสง UV โดยตรง ควรดูแลผิวด้วยการทาครีมกันแดดให้ทั่วใบหน้าและผิวกายเป็นประจำ เพื่อเป็นเกราะป้องกันผิวให้กับสาวๆ สู้แดดได้เพื่อผิวสวยได้อีกนานๆ


  5. ใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF และ PA เหมาะสม

  6. อีกข้อที่สำคัญคือการเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF และค่า PA ซึ่งก็คือ ตัวบ่งบอกถึงความสามารถในการปกป้องผิวจากรังสี UVB และ UVA พิจารณาเลือกใช้ให้เหมาะสมด้วย อย่างเช่น ถ้าสาวๆ ที่ต้องการปกป้องสูง อย่างการที่ต้องอยู่กลางแจ้งนานๆ แดดจัดๆ สามารถใช้ค่า SPF 30+ ขึ้นไปได้ และค่า PA+++ เพื่อเป็นเกราะป้องกันชั้นสูงให้กับผิวของคุณ


  7. เลือกใช้ครีมกันแดดให้เหมาะกับกิจกรรม

  8. สำหรับคุณสาวๆ ที่ทาครีมกันแดดไปแล้ว แต่กังวลว่าเหงื่อออกมาก หรือต้องออกไปเผชิญกับกิจกรรมที่ต้องเจอน้ำ ไม่ว่าจะล่องแก่ง ว่ายน้ำ ไปเที่ยวทะเล ไม่ต้องกังวลว่าทาไปแล้วจะไม่มีประโยชน์ เพราะถ้าคุณเลือกครีมกันแดดชนิดกันน้ำ จะมีคุณสมบัติติดทนนาน ไม่หลุดง่าย เพื่อจะได้รับประโยชน์ช่วยปกป้องผิวคุณจากแสงแดดอย่างได้ผล


  9. ครีมกันแดดจำเป็นทุกฤดูและทุกสภาพอากาศ

  10. ทุกวันนี้แดดในบ้านเราช่างร้อนแรงไม่ว่าฤดูไหน  จะร้อน ฝนหรือหนาว สาวๆ ก็ควรดูแลผิวหน้า ผิวกายด้วยการทาครีมกันแดดเป็นประจำเสมอ เพราะเมื่อมีแสงอาทิตย์ก็จะมีรังสี UV อยู่ดี ฉะนั้นผิวของคุณย่อมต้องการได้รับการปกป้องเช่นกัน  จะเลือกใช้ครีมกันแดดต่างชนิดได้ หรือมีค่า SPF และค่า PA สูงหรือต่ำ ตามสภาพอากาศและแสงแดดในช่วงนั้นๆ ด้วย

3 วิธีหลีกเลี่ยงและป้องกันแสงแดด ปราการแรกก่อนพึ่งพาครีมกันแดด

     ในปัจจุบันโลกร้อนขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนเมืองไทยเองก็ร้อนไปเรื่อยๆ ไม่มีวันหยุดเช่นกัน จากที่เคยมี 3 ฤดูก็เหมือนจะเหลือแค่ฤดูร้อนอย่างเดียว ทำให้ครีมกันแดดถือเป็นตัวช่วยหลักสำหรับคนไทยในการช่วยไม่ให้ผิวที่เข้มอยู่แล้ว เข้มขึ้นไปอีกจนถึงขั้นดำ อันนี้ถือว่ารับไม่ได้อย่างยิ่งสำหรับสาวๆ เรามาดูกันสิว่าจะทำอย่างไรในการป้องกันแดดให้กับตัวเองได้บ้างก่อนที่จะต้องพึ่งตัวช่วยอย่างครีมกันแดด


  1. หลักเลี่ยงการออกแดดในเวลาที่แดดจัด

  2. การป้องกันอย่างแรกสุดและง่ายสุด คือการอย่าออกไปเจอแดดนั่นเอง และแดดเมืองไทยจะร้อนแรงที่สุดในช่วงเวลา 9.00 – 15.00 น. ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายสุด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเวลาอื่นๆ จะไม่เป็นไร จำไว้เสมอว่ามีแสงก็คือมีแดด ต่อให้แดดร่มลมตก ก็ยังเจอรังสี   UV อยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าหลีกเลี่ยงเวลาเหล่านี้ไม่ได้ก็ต้องพึ่งตัวช่วยอย่างครีมกันแดด อย่าลืมเลือกให้เหมาะกับสถานการณ์และเหมาะกับผิวของเราด้วย


  3. ใส่เสื้อผ้าที่เหมาะสม

  4. การป้องการขั้นต่อมาเพื่อเป็นปราการสำคัญก่อนใช้ครีมกันแดด ถ้าเราต้องออกไปเจอแดด หรือต้องออกกำลังกายกลางแจ้ง ก็คงเป็นสถานการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ที่จะต้องเจอกับรังสี UV ก็ต้องป้องกันด้วยการเสื้อผ้าที่เราสวมใส่อยู่ จากปกติเป็นคนใส่เสื้อแขนสั้น กางเกงขาสั้น ก็ต้องเปลี่ยนสไตล์การแต่งตัวบ้างด้วยการใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาวให้มิดชิดซักหน่อย เพื่อป้องกันแสงแดดที่จะเข้ามาทำร้ายผิวของคุณและช่วยเบาแรงให้กับครีมกันแดดอีกทางหนึ่งด้วย


  5. อย่าลืมพกอุปกรณ์เสริม

  6. อุปกรณ์เสริมในที่นี้ไม่ได้หมายถึงครีมกันแดด แต่หมายถึงอุปกรณ์เสริมง่ายๆ ที่เราเองก็มีกันอยู่แล้วอย่าง ร่ม หรือหมวก ถ้าเป็นคุณผู้หญิงก็เลือกใส่หมวกปีกกว้างได้ จะได้ครอบคลุมหมดไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นว่าหน้าไม่ดำ แต่แขนดำปี๋ไปเลย เดี๋ยวนี้อุปกรณ์เสริมอย่างหนึ่งที่สวมใส่กันจนรู้สึกปกติแล้วนั่นคือปลอกแขน เห็นจนชินตาเพราะใส่แล้วดูสปอร์ตขึ้นอีกต่างหาก


     เป็นอย่างไรกันบ้างกับอุปกรณ์เสริมที่เรามีกันอยู่แล้ว เพียงแค่ไปหยิบมาใช้ให้ถูกเวลา และหลีกเลี่ยงการออกแดดให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แล้วก็อย่าลืมว่าไม่ว่าจะมีแดดหรืออยู่ในร่ม เราก็ยังเผชิญกับรังสี UV อยู่ดี แล้วปราการสุดท้ายที่คุณจะลืมไม่ได้เลยนั่นคือ ครีมกันแดดดีๆ ซักตัว เลือกที่เหมาะกับผิว และเหมาะกับสถานการณ์ที่เราต้องเผชิญ และที่สำคัญคืออย่าขี้เกียจที่จะทาครีมกันแดดให้เป็นประจำ

เจาะลึกวิธีเลือกครีมกันแดดให้เหมาะกับ 4 ลักษณะผิวของเราอย่างแท้จริง

     การตลาดเกี่ยวกับการใช้ครีมกันแดดบ้านเรา มักจะหานางแบบผิวขาวๆ หรือบางทีก็เป็นลูกครึ่งผิวขาวมาแสดง ทำให้ดูสวยงามน่าปกป้องด้วยครีมกันแดด แต่ในความเป็นจริงแล้วอะไรกันแน่คือสาเหตุที่แท้จริงที่เราจะต้องคำนึงถึงในการเลือกครีมกันแดดดีๆ ซักหลอดให้กับตัวเอง วันนี้เราจะมาเจาะลึกให้เห็นว่าจริงๆ แล้ว การเลือกครีมกันแดดให้เหมาะกับตัวเองนั้นต้องดูที่ลักษณะของสีผิวของเราเป็นหลัก


1. ผิวขาวแบบชาวยุโรป

ผิวแบบนี้เรามักจะเห็นในโฆษณาอยู่บ่อยๆ เพื่อทำให้ผู้บริโภคหลงเชื่อไปว่าทาแล้วผิวจะดูขายใสแบบนางแบบเหล่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วผิวขาวแบบยุโรปนั้นจะเหมาะกับครีมกันแดดที่มีค่า SPF อยู่ที่ประมาณ 45-60 เพราะผิวจะบางมาก เกิดผิวไหม้ง่ายมากหลังสัมผัสกับแสงแดด จึงจำเป็นต้องใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง ๆ

2. ผิวขาวอมชมพูแบบเอเชีย

คนเอเชียอย่างทางญี่ปุ่น หรือเกาหลี จะมีผิวลักษณะแบบนี้ คนไทยเองก็มีผิวแบบนี้กันพอสมควร ผิวชนิดนี้บอบบางมาก เกิดผิวไหม้ได้ไว เกิดผิวสีแทนได้เมื่อโดดแสงแดดเป็นเวลานาน ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF ค่อนข้างสูงประมาณ 30-45 เพื่อเพิ่มเวลาในการปกป้องผิวมากขึ้น

3. ผิวขาวเหลืองแบบเอเชีย

ผิวแบบนี้เป็นเอกลักษณ์ของชาวเอเชียเราเลยก็ว่าได้ ผิวชนิดนี้บางแต่ยังมีเมลานินที่บริเวณชั้นผิวหนังอยู่บ้างจึงสามารถทนต่อแสงแดดได้ในระดับหนึ่ง การเกิดผิวหนังร้อนแดงจะเกิดได้ช้ากว่าผิว 2 ชนิดแรก คนที่มีผิวประเภทนี้ควรเลือกครีมกันแดดชนิดที่มีค่า SPF ปานกลางประมาณ 30

4. ผิวคล้ำธรรมชาติ

ผิวชนิดนี้ก็มีมากในคนไทย เพราะคนไทยอยู่กับแสงแดดมานาน ผิวจะคล้ำกว่าประเทศที่ไกลเส้นศูนย์สูตร ผิวมีเมลานินสูง ผิวสีน้ำตาลจะช่วยให้ไม่เกิดการไหม้ ไม่เกิดสีแทน สามารถใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF ต่ำได้อยู่ที่ประมาณ SPF 15 แต่ก็ไม่ได้หมายถึงว่าทาแล้วจบไป ต้องดูเวลาในการอยู่กับแดดด้วย

     จะเห็นได้ว่าเราจะเลือกครีมกันแดดตามลักษณะของสีผิวเป็นหลัก เพราะอะไร เพราะว่าค่า SPF ที่เราเห็นกันอยู่ประจำตามบรรจุภัณฑ์ครีมกันแดดหลากหลายยี่ห้อในท้องตลาดนั้น แท้จริงแล้วเป็นค่าที่บ่งบอกว่า คุณจะได้รับการปกป้องจากครีมกันแดดเหล่านั้นได้นานเท่าไหร่นั่นเอง เช่น ค่า SPF 60 ย่อมปกป้องผิวจากแสงแดดได้นานกว่า SPF 15 เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นมีข้อที่จะต้องจำง่ายๆ คือ ค่า SPF สูงป้องกันได้นานกว่า ไม่ใช่ป้องกันได้ดีกว่า

รู้ทันอันตรายจากแสงแดด เลือกปกป้องด้วยครีมกันแดดอย่างรู้ทัน

     เราต่างก็รู้กันอยู่แล้วว่าแสงแดดมีประโยชน์มากมายในการดำรงชีวิตประจำวัน แต่ทว่าอะไรก็ตามที่มากเกินไป มักส่งผลเสียไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งและอาจมีผลกระทบที่เป็นอันตรายและร้ายแรงอย่างคาดไม่ถึงได้ เมื่อผิวที่ได้รับแสงแดดแรงๆ ย่อมมีผลเสียกับผิวเราได้ แต่เราสามารถเลือกใช้ครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวของเราได้เช่นกัน


  • ภัยและอันตรายจากแสงแดดที่มีผลต่อผิวหนัง
  • แสงแดดมีผลกับสภาพผิวหน้าและผิวกายของเรามาก โดยเฉพาะแดดในช่วงฤดูร้อน ทำให้ผิวดำคล้ำ แห้งกร้าน ซึ่งเป็นต้นเหตุที่หน้าสวยจะเป็นฝ้า กระ และริ้วรอยก่อนวัย ไม่แต่เพียงเท่านี้ เพราะอันตรายที่เกิดจากที่ผิวภายนอกของเราต้องโดนแดดแรงๆ ซ้ำๆ นานๆ อาจทำให้เกิดรอยแดงไหม้ บวมพอง และอาจเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งผิวหนังได้

  • ชนิดของแสงแดดที่เป็นอันตราย
  • แสงแดดหรือแสงจากดวงอาทิตย์มีรังสีอัลตราไวโอเลต(UV) ที่ประกอบไปด้วย 2 ชนิด คือ รังสีอัลตราไวโอเลต ชนิดเอ (UV-A)ซึ่งชนิดนี้มีผลทำให้ผิวดำคล้ำ เหี่ยวย่น เป็นสาเหตุที่ทำให้เป็นโรคมะเร็งผิวหนัง และอีกชนิดคือ รังสีอัลตราไวโอเลตชนิดบี (UV-B) ซึ่งจะมีพลังงานสูงกว่า ผลเสียมีมากกว่าเช่นกันและยังเป็นชนิดที่เป็นอันตรายต่อดวงตาด้วย

  • ช่วงเวลาอันตรายจากแสงแดด
  • ช่วงเวลาที่แสงแดดจากดวงอาทิตย์มีรังสีอัลตราไวโอเลตสูง และแรงมากๆ คือเวลาประมาณ 10.00 – 16.00 น. หากไม่ได้รับการดูแลไม่ว่าจะปิดหน้าปิดตัวให้มิดชิด สวมหมวกบังแสงแดดและทาครีมกันแดดกันไว้ ก็จะมีความเสี่ยงที่จะได้รับอันตรายจากแสงอัลตราไวโอเลตมากกว่าในช่วงเวลาอื่นๆ หรือจะมีความเสี่ยงมากกว่าหากไม่ได้ป้องกันผิวด้วยอะไรเลย

  • ครีมกันแดดช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดได้ 
  • ผิวหน้าและผิวกายจะได้รับอันตรายและภัยจากแสงแดดได้ ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาไหน ยิ่งหากต้องออกไปเจอกับแสงกลางวัน ต้องปกป้องผิวด้วยใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารกันแดดชนิดที่มีความเข้มข้นและเหมาะกับสภาพผิวด้วย ต้องทาครีมกันแดดก่อนออกไปโดนแสงแดดอย่างน้อย 30 นาที และหมั่นทาซ้ำทุก 3-4 ชั่วโมง เพื่อผลดียิ่งขึ้นต้องใช้ให้เป็นประจำทุกวัน

  • ประโยชน์ที่ได้จากการใช้ครีมกันแดด 
  • การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว หรือทาผิวที่มีส่วนผสมของครีมกันแดด ทาให้ทั่วบริเวณผิวหนังที่ไม่มีเสื้อผ้าปกปิด อย่างเช่น ใบหน้า แขน ขา มือ หรือลำคอ เป็นต้น สังเกตได้ว่าเมื่อคุณทาครีมกันแดดแล้วจะทำให้ผิวไม่รู้สึกแสบร้อน ไม่แห้งกร้าน หรือดำคล้ำ เพราะการทาครีมกันแดดจะช่วยป้องกันแสง UV ซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหาผิวพรรณต่างๆ มากมาย

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับครีมกันแดดผลิตภัณฑ์ที่ช่วยปกป้องผิวจากแสง UV

     ปัจจุบันจะเห็นว่าคุณสาวๆ ให้ความสนใจกับการใช้ครีมกันแดดและผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารกันแดดกันมากขึ้น เพราะต้องการปกป้องผิวจากรังสีอัลตราไวโอเลต(UV) จากแสงแดด ซึ่งในท้องตลาดก็มีผลิตภัณฑ์กันแดดออกมาแข่งขันกันมากมาย จึงนำเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับครีมกันแดดที่คุณสาวใช้อยู่ จะได้เลือกใช้ได้อย่างเข้าใจมากขึ้น


  • ครีมกันแดดที่มีสารกันแดดอยู่จริง
  • ผลิตภัณฑ์กันแดดและครีมกันแดดของคุณใช้กันอยู่ จะรู้ได้อย่างไรว่ามีส่วนผสมของสารกันแดดอยู่จริง และจะปกป้องผิวของเราจากรังสี UVจากแสงแดดได้มากแค่ไหน ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรรู้อย่างมาก เพราะเราจะเลือกซื้อจากคำโฆษณาและในฉลากผลิตภัณฑ์บอกไว้เท่านั้น ฉะนั้นมาดูเพิ่มอีกอย่าง คือชื่อของสารกันแดดที่เห็นได้บ่อยๆ ในผลิตภัณฑ์กันแดด ดังนี้ Titanium Dioxide ,Benzophenone-3 ,2-Ethylhexyl Methoxycinnamate ,Butyl  Methoxydibenzoylmethane ,Bis-Ethylhexyloxyphenolmethoxytriazine


  • ทำความรู้จักค่า SPF และค่า PA
  • สงสัยกันมากว่า SPF และ PA ที่เห็นจากฉลากของผลิตภัณฑ์นั้นคืออะไร? ซึ่งทั้ง 2 แบบนี้ ก็คือค่าที่บอกประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UV ที่ต่างกันคือ ค่า SPF (Sun Protection Factor) จะป้องกันรังสี UVB รังสีชนิดนี้มีผลทำให้ผิวไหม้ พองบวม ส่วน  PA (Protection Grade of UVA) จะป้องกันรังสี UVA ต้นเหตุของสีผิวที่หมองคล้ำ เหี่ยวย่น และทั้ง 2 ชนิดอาจส่งผลให้เป็นมะเร็งผิวหนังได้ ดังนั้นต้องใช้ครีมกันแดดที่มีทั้งค่า SPF และค่า PA เพื่อการปกป้องผิวของคุณได้ดีที่สุด


  • ความแตกต่างของตัวเลขในค่า SPF
  • ส่วนใหญ่เราจะเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง เพราะมั่นใจว่าจะต้องปกป้องผิวได้ดีกว่าตัวเลขต่ำๆ แน่ๆ ความจริงแล้วตัวเลข SPF สูงนั้น คือจะสามารถป้องกันได้นานกว่า ไม่ใช่ป้องกันได้ดีกว่า เพื่อเข้าใจที่ถูกต้องก็คือ โดยปกติผิวเรานั้นจะสามารถรับมือกับแสงแดดได้นาน 20 นาที จึงนำมาเป็นเกณฑ์เริ่มต้น ถ้าในครีมกันแดดระบุค่า SPF15 ก็คือ 15x20 เท่ากับรับมือได้นาน 300 นาที เป็นต้น แสดงว่าถ้าค่า SPF สูงกว่า ย่อมปกป้องผิวจากแสงแดดได้นานกว่านั่นเอง


  • เครื่องหมายบวก (+) ในค่า PA
  • สำหรับครีมกันแดดที่มีค่า PA เพิ่มขึ้นมาอีกอย่างจากแต่ก่อนที่มีแต่ค่า SPF ดังนั้นเท่ากับผิวจะได้รับการปกป้องจากแสงแดดได้ดีกว่าเดิม ส่วนค่า PA ที่เห็นเป็นเครื่องหมายบวก(+) ต่อท้ายนั้น เป็นการบอกระดับการปกป้องรังสี UVA ว่ามีความสามารถปกป้องผิวได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งปัจจุบันมีด้วยกัน 3 ระดับ คือ PA+, PA++และ PA+++ เริ่มต้นเลยคือ PA+ นั้น จะมีความสามารถในการป้องกันรังสี UVA อยู่ที่ 2-4 เท่า เครื่องหมายบวกที่เพิ่มขึ้นอีกเป็น 4-8 เท่าและ 8-16 เท่าตามมา และยังมีการพัฒนาเพิ่มมากขึ้นด้วย